การตรวจวัดเสียงรบกวนในพื้นที่ต่างๆ และ วิเคราะห์ออกแบบงานควบคุมเสียง
ปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงและการปฏิบัติเพื่อให้มีความเชื่อถือของผลการวัด มี 3 ประการ
- เครื่องมือวัด ต้องเป็นไปตามมาตรฐานที่กฏหมายกำหนด
- กระบวนการวัดและประมวลผล ต้องเป็นไปตามประกาศคณะกรรมการควบคุมมลพิษ
- ผู้วัด ต้องมีความสามารถในการใช้เครื่องมือวัดและดำเนินการวัดและประมวลผลได้อย่างถูกต้อง
ในการตรวจวัดระดับเสียงรบกวนก็ต้องมีคำที่เกี่ยวกับการวัดระดับเสียง ที่พวกเรานั้นควรรู้จักเบื้องต้น
"ระดับเสียงพื้นฐาน" (Background Noise Level) หมายถึง ระดับเสียงที่ตรวจวัดในสิ่งแวดล้อม ในขณะยังไม่เกิดเสียงหรือไม่ได้รับเสียงจากแหล่งกำเนิด ตรวจวัดเป็นค่า Percentile Level 90 หรือ LA90"ระดับเสียงขณะไม่มีการรบกวน" (Residual Noise Level) หมายถึง ระดับเสียงที่ตรวจวัดในสิ่งแวดล้อมในขณะที่ยังไม่เกิดเสียงหรือไม่ได้รับเสียงจากแหล่งกำเนิด โดยตรวจวัดในช่วงเวลาเดียวกับระดับเสียงพื้นฐาน ตรวจวัดเป็นค่าระดับเสียงเฉลี่ย Equivalent Continuous Sound Pressure Level , Leq หรือ LAeq
การหาแหล่งกำเนิดเสียง Noise source identification : Nor848A - Acoustic Camera
โดยในปัจจุบันใน ผู้ผลิต Nor848A ได้มีการพัฒนาระบบ Array microphones โดยใช้หลักการ Acoustic Beampattern ในการระบุหาตำแหน่งเสียงที่เกิดขึ้น และใช้ร่วมกับระบบภาพ
รูปที่ 1 ตัวอย่างภาพการใช้ Acoustic Camera ในการหาแหล่งกำเนิดเสียง |
วิเคราะห์เสียงด้วยโปรแกรมคำนวณทางคณิตศาสตร์ MODELING NOISE SIMULATION VIA OTL SUITE 3D
เราเลือกใช้โปรแกรม Olive Tree Lab การสร้างแบบจำลอง 3 มิติ เพื่อดูการเดินทางของเสียง การสะท้อนของเสียงที่ไปกระทบกับผนัง และจำลองโดยการใส่วัสดุที่มีค่าทางอะคูสติก ที่ใช้ในแก้ไขปัญหา และ ช่วยให้งาน ออกแบบการ ควบคุมเสียงเป็นไปอย่างถูกต้อง และ แม่นยำมากขึ้นในการคำนวณ พื้นที่อะคูสติกที่สนใจและพื้นที่ที่มีภูมิสถาปัตย์ แตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อม โดยสามารถคำนวณค่าในงานประเภท
- Room Acoustic
- Open Plan Office
- Outdoor Distribution
- Scattering Polar Plotter
- Spherical sound pressure (not energy) wave propagation over
impedance surfaces
- Source Directivity
- Head Related Transfer Function
- Unique Visualization Features
รูปที่ 2 จำลองการสะท้อนของเสียง |
รูปที่ 3 วัสดุและค่าทางอะคูสติกที่สามารถออกแบบเองได้ |
การสร้างแผนผังเสียง Noise contour / Noise Mapping
การสร้างแผนที่เสียงเพื่อศึกษาการกระจายเสียงจากแหล่งกำเนิดเสียง เพื่อนำมาวิเคราะห์ในการออกแบบและแก้ไข้ปัญหาต่อไป ซึ่งแผนที่ หรือ Noise contour สามารถนำมาใช้ในการสื่อสารสภาพแวดล้อมของการทำงาน สภาพการรบกวนของเสียงจากเครื่องจักร การตรวจวัดก่อนและหลังดำเนินการแก้ปัญหา เป็นรูปแบบการสื่อสารได้ในหลายมิติ
รูปที่ 4 ภาพ Noise Contour |
การมองวัตถุประสงค์ของการควบคุมเสียงในแต่ละพื้นที่ว่ามีความจำเป็นมากน้อยเท่าไหร่ มีคนได้รับการรบกวนในพื้นที่นั้นๆ มากน้อยเพียงใด รูปแบบการกระจายเสียงในพื้นที่ ส่งผลรบกวนต่อคนอย่างไร
การเลือกซื้อเครื่องจักรที่มีเสียงต่ำ เพื่อลดปัญหา เรื่องการควบคุมเสียงในอนาคต
วางแผนการควบคุมเสียงด้วยอุปกรณ์ควบคุมเท่าที่จำเป็น และ ทำการจำลองสภาพของเสียง เพื่อเป็นแนวทางในการก่อสร้างอุปกรณ์ป้องกันเสียง เช่น
- กล่องครอบลดเสียง(Acoustic enclosure)
- กำแพงกั้นเสียง (Sound wall)
- ฉนวนดูดกลืนเสียง (Sound proof)
- อุปกรณ์ลดเสียงในระบบลม เช่น Duct Lining หรือ Silencer, Acoustic Louver
- การใช้ฉนวนหุ้มท่อลดเสียง (Acoustic pipe insulation)
- ผนังกั้นเสียงเครื่องจักร (Sound screen)
การออกแบบและควบคุมเสียง Noise Control Solution
การออกแบบ งานควบคุมเสียงใน พื้นที่ทำงาน ที่มีเครื่องจักร Noise Control design for Work Place containing machinery
- Noise Immission at work station คือ รูปแบบการรับเสียงภายในพื้นที่ทำงาน
- Noise Exposure คือ ระดับเสียงที่พนักงานที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ได้รับเสียงสะสมตลอดเวลาที่ทำงาราทั้งในและนอกพื้นที
- พื้นที่ภายในห้อง มีระดับการดูดกลืนเสียงของห้องอย่างไร Room constant
- อุปกรณ์ควบคุมเสียง หรือ การจัดวางรูปแบบของพื้นที่ทำงาน เอื้อต่อการควบคุมเสียงได้อย่างไร ค่าต่างๆ ที่ควรทราบ เช่น Insertion loss ของวัสดุ, ค่าการดูดกลืนเสียงของวัสดุ เป็นต้น
ในส่วนของหลักการคุบคุมเสียงนั้น สามารถทำได้ตั้งแต่ต้นเหตุ จนถึงปลายเหตุ ขึ้นอยู่กับว่างบประมาณนั้นการลดเสียงนั้นมีมากแค่ไหน ถ้าหากโรงงานนั้นยังอยู่ในช่วงดำเนินการสร้างจะเป็นการแก้ไขปัญหาภายหน้าซึ่งมีประสิทธิภาพและลดต้นทุนในการแก้ไขปัญหาของเสียงที่สุดที่สุด สามารถทำได้ไม่ว่าจะเป็น การกำหนดสเปคของเครื่องจักรให้มีเสียงรบกวนที่ต่ำ และการจัดแปลนให้เครื่องจักรที่ส่งเสียงดังนั้นให้อยู่ห่างจากคนทำงาน
ในทางกลับกันหากแก้ไขจากแหล่งกำเนิดเสียงที่ติดตั้งแล้วจะต้องคำนึงถึง ความร้อนของเครื่องจักร และ ความดัน เพื่อไม่ให้เครื่องจักรนั้นเสียงหาย โดยอาจจะแก้โดยกล่องครอบเครื่องจักร (Acoustic Enclosure) ที่ใช้แก้ไขปัญหาที่เครื่องจักร และ Duct Lining , Silencer, Acoustic Louver ที่สามารถแก้ไขปัญหาที่ใช้ในระบบลมให้มีความเหมาะสมตามการใช้งาน ทั้งนี้อาจจะสามารถแก้ไขได้จากห้องโดยใช้หนังกั้นเสียง(Sound wall)เพื่อลดเสียงสะท้อนและไม่ให้เสียงนั้นออกไปสู่ภายนอกบริเวณพื้นที่
การออกแบบควบคุมเสียงในโรงงานพื้นที่เปิด Noise Control design for Open Plant
การออกแบบการควบคุมเสียงในโรงงานพื้นที่เปิดนั้นจำเป็นต้องคำนึงถึงสภาวการณ์ของโรงงานตั้งแต่ช่วงก่อสร้าง(Construction), ช่วงทดสอบเครื่องจักร(Commissioning) และช่วงเวลาเดินเครื่องจักรทั้งช่วงเริ่มเดินเครื่องจักร,ระหว่างเดินเครื่องจักรและช่วงหยุดเครื่องจักร ซึ่งแต่ละสภาวการณ์นั้นจะมีระดับเสียงที่แตกต่างกันจึงจำเป็นต้องมีการออกแบบการควบคุมเสียงเพื่อเป็นแนวทางในการควบคุมเสียงให้มีประสิทธิผลในทุกช่วงสภาวการณ์. นอกจากนี้การออกแบบการควบคุมเสียงในโรงงานพื้นที่เปิดนั้นต้องคำนึงถึงเครื่องจักรซึงเป็นแหล่งกำเนิดเสียง การสร้างข้อกำหนดของเครื่องจักรที่ช่วยเป็นหลักเกณฑ์ในการพิจารณาว่าเสียงที่ดังมาจากเครื่องจักรนั้นมีระดับความดังถูกต้องตามมาตรฐาน และ ไม่ก่อให้เกิดปัญหาเสียงนบกวน หรือ เกิดปัญหาเรื่องความปลอดภัยในการทำงานตามมาตรฐานการควบคุมความปลอดภัยชีวอนามัย และ สภาพแวดล้อมในสานที่ทำงาน. ซึ่งข้อกำหนดนั้นจะประกอบไปด้วยการกำหนดระดับเสียง Sound pressure level และ Sound Power Level สูงสุดของเครื่องจักร หรือ ระบบต่างๆในพื้นที่โรงงาน. เครื่องจักรที่มักมีเสียงดังเช่น
- Pumps
- Blowers
- Agitator
- Press machine
- Cooling Tower
- Chiller
- Gas Turbine
- Generator
- Control valves
- Safety/relief valves
- Piping
- Vents
แนวทางการออกแบบเพื่อควบคุมเสียงนั้นจะต้องคำนึงถึงถึงปัจจัยต่างๆของเครื่องจักรทั้งความร้อน, ความถ่ายเทของอากาศ, ความดันของอากาศที่เครื่องจักรนั้นใช้, สารหรือวัสดุของเครื่องจักร เพื่อไม่ให้เครื่องจักร หรือ ผลผลิตของเครื่องจักรนั้นมีความเสียหายได้ โดยแนวทางการควบคุมเสียงด้วยอุปกรณ์และกลยุทธการจัดการกับเสียงมีดังนี้
อุปกรณ์ควบคุมเสียง
-Silencer guideline
-Acoustic Pipe Insulation Guideline
-Acoustic louver
-Acoustic isolation
กลยุทธการจัดการกับเสียง
- การเลือกใช้ Buffer building ในการลดเสียง
- การเลือกใช้อุปกรณ์ป้องกนเสียงส่วนบุคคลเฉพาะพื้นที่
การออกแบบควบคุมเสียงในพื้นที่ภายนอก Noise Control design for Outdoor
การกระจายเสียงในพื้นที่เปิดโล่งนั้นมีรูปแบบที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยอาทิเช่น
ทิศทางลม, สภาพภูมิศาสตร์ในพื้นที่, ทิศทางของแหล่งกำเนิดเสียง, อุณภูมิและความชื้น
โดยการคำนวณการลดเสียงจากแหล่งกำเนิดเสียงมายังพื้นที่ที่ได้รับการรบกวนสามารถทำได้ตาม
ISO9613-1 และ ISO9613-2 ซึ่งมีรูปแบบต่างๆที่ต้องคำนึงถึงเช่น
- การดูดกลืนเสียงของชั้นอากาศ
- ปัจจัยของลักษณะพื้นที่เสียงกระจายผ่าน เช่น
พื้นที่เป็นทุ่งหญ้า หรือ พื้นที่เป็นคอนกรีต สภาพการสะท้อน และ
หักเหของเสียงจะแตกต่างกัน
- สภาพภูมิศาสตร์ของพื้นที่ เช่น ระดับ
พื้นที่สูงหรือต่ำ หรือการมีกำแพง ล้วนมีผลต่อลักษณะการกระจายเสียงในพื้นที่ภายนอก
- ลักษณะของกำแพงกั้นเสียง รูปแบบต่างๆ
ย่อมมีการปิดกั้นเสียงได้แตกต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อการหักเห และ การสะท้อน
ออกจากผู้ได้รับเสียงรบกวน หรือ เข้าไปยังผู้ได้รับเสียงรบกวน
จากแนวทางการใช้โปรแกรมทางคณิตศาสตร์มาคำนวณ ดูภาพการกระจายเสียงแต่ละย่านความถี่ ช่วยให้ผู้ออกแบบการควบคุมเสียงในพื้นที่ด้านนอก ทำได้ ถูกต้องแม่นยำ เช่น การสร้างกำแพงกั้นเสียง การเลือกใช้วัสดุในการปิดกั้นเสียง ซึ่งทำให้สามารถที่จะเพิ่ม ศักยภาพให้กับงานควบคุมเสียงนั้น ๆ
โดยสิ่งที่ต้องนำมาวิเคราะห์อย่างแรกคือ แหล่งกำเนิดเสียงภายในห้องว่ามีกำลังเท่าไหร่ และ ใช้ในรูปแบบอะไร และสิ่งที่สองคือสภาพของห้อง ไม่ว่าจะเป็น อุปกรณ์ต่าง ๆในห้องว่ามีการซับเสียงสะท้อนไปมากน้อยแค่ไหน และผนัง พื้น เพดาน ใช้วัสดุอะไรในการออกแบบเพื่อนำไปวิเคราะห์หาค่า Reverberation Time (RT-60) หรือ ค่า ความชัดเจนของคำพูด (Intelligibility of Speech) และแก้ไขค่า RT60 และใช้ค่า NR(Noise rating) หรือ NC(Noise Cirteria) ที่แนะนำเพื่อเป็นตัวชี้ว่าห้องที่ใช้ในวัตถุประสงค์นี้อยู่ในระดับมาตรฐาน
วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างห้อง ประกอบไปด้วยส่วนหลักๆ ดังนี
- พื้น
- ผนัง
- หลังคา
- ประตู
- หน้าต่าง
- อุปกรณ์เครื่องใช้ภายในห้อง
- แหล่งกำเนิดเสียง เช่น ลำโพง เวที เป็นต้น
- วัสดุตกแต่งภายใน วัสดุกระจายเสียง หรือ วัสดุดูดกลืนเสียง
รายงานผล (Report)
- รายงานการตรวจวัดเสียง ตามประกาศคณะกรรมการควบคุมมลพิษ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น